ประกันสังคม คือการ “เฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข” โดยผู้ประกันตน

ประกันสังคม

ประกันสังคม หลักประกันความมั่นคงในชีวิตที่คุณต้องรู้

ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การมีหลักประกันที่คอยรองรับความเสี่ยงต่างๆ ในชีวิตจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง  คือหนึ่งในหลักประกันพื้นฐานที่รัฐมอบให้กับประชาชนคนทำงาน เปรียบเสมือนตาข่ายความปลอดภัยที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ตั้งแต่การเจ็บป่วย การว่างงาน ไปจนถึงการวางแผนเพื่อวัยเกษียณ

บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่า คืออะไร ใครบ้างที่ต้องเข้าสู่ระบบ และสิทธิประโยชน์ที่เราจะได้รับนั้นมีอะไรบ้าง

ประกันสังคม

ประกันสังคมคืออะไร?

กองทุนประกัน  คือ กองทุนที่ให้หลักประกันแก่ผู้ที่อยู่ในระบบประกัน  (หรือที่เรียกว่า “ผู้ประกันตน”) เพื่อให้ได้รับประโยชน์ทดแทนเมื่อประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต ซึ่งไม่เนื่องมาจากการทำงาน รวมทั้งกรณีคลอดบุตร สงเคราะห์บุตร ชราภาพ และว่างงาน

หลักการทำงานของประกัน คือการ “เฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข” โดยผู้ประกันตน นายจ้าง และรัฐบาล จะร่วมกันจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนทุกเดือน เพื่อนำเงินส่วนนี้ไปบริหารจัดการและจ่ายเป็นสิทธิประโยชน์ต่างๆ คืนกลับไปยังผู้ประกันตนเมื่อมีความจำเป็นต้องใช้

ใครบ้างที่อยู่ในระบบประกัน 

ผู้ประกันตนในระบบประกัน  แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ตามที่กฎหมายกำหนด หรือที่เรียกกันติดปากว่า “มาตรา” ต่างๆ ดังนี้

  1. ผู้ประกันตนมาตรา 33 (ม.33): คือ ลูกจ้างหรือพนักงานบริษัทเอกชนทั่วไปที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ การเข้าสู่ระบบนี้เป็นการบังคับตามกฎหมาย โดยนายจ้างมีหน้าที่ขึ้นทะเบียนให้ลูกจ้างและนำส่งเงินสมทบทุกเดือน
  2. ผู้ประกันตนมาตรา 39 (ม.39): คือ บุคคลที่เคยเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 มาก่อน แต่ออกจากงานแล้ว และต้องการรักษาสถานะผู้ประกันตนต่อไป สามารถสมัครใจเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 ได้ โดยต้องเคยส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน และยื่นใบสมัครภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่สิ้นสุดการเป็นพนักงาน
  3. ผู้ประกันตนมาตรา 40 (ม.40): คือ บุคคลทั่วไปที่ไม่ได้เป็นลูกจ้างในระบบ (ม.33) และไม่ได้เป็นผู้ประกันตนโดยสมัครใจ (ม.39) เช่น ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ฟรีแลนซ์ ค้าขาย เกษตรกร สามารถสมัครเข้าสู่ระบบประกัน ได้ด้วยความสมัครใจ เพื่อรับความคุ้มครองในรูปแบบต่างๆ

สิทธิประโยชน์หลัก 7 กรณีที่ควรรู้

เงินสมทบที่เราจ่ายไปทุกเดือนนั้น จะถูกนำไปดูแลเราใน 7 กรณีสำคัญ ดังนี้

  1. กรณีเจ็บป่วยหรือประสบอุบัติเหตุ: สามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลตามสิทธิที่เลือกไว้ได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย (ตามเงื่อนไขที่กำหนด) รวมถึงได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้หากต้องหยุดงานตามคำสั่งแพทย์
  2. กรณีคลอดบุตร: ได้รับค่าบริการทางการแพทย์ในการฝากครรภ์และคลอดบุตร (เหมาจ่าย) พร้อมเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร
  3. กรณีทุพพลภาพ: หากเจ็บป่วยหรือประสบอุบัติเหตุจนกลายเป็นผู้ทุพพลภาพ จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้เป็นรายเดือนตลอดชีวิต และค่าบริการทางการแพทย์
  4. กรณีเสียชีวิต: ทายาทหรือผู้จัดการศพจะได้รับค่าทำศพ และเงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต (ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการส่งเงินสมทบ)
  5. กรณีสงเคราะห์บุตร: ผู้ประกันตนที่มีบุตรอายุไม่เกิน 6 ปีบริบูรณ์ จะได้รับเงินสงเคราะห์บุตรเป็นรายเดือน (คราวละไม่เกิน 3 คน)
  6. กรณีชราภาพ: ถือเป็นหัวใจสำคัญของการออมเพื่อวัยเกษียณ
    • บำนาญชราภาพ: หากส่งเงินสมทบครบ 180 เดือน (15 ปี) ขึ้นไป จะได้รับเงินบำนาญเป็นรายเดือนไปตลอดชีวิต
    • บำเหน็จชราภาพ: หากส่งเงินสมทบไม่ครบ 180 เดือน จะได้รับเงินที่เคยสมทบในส่วนชราภาพคืนพร้อมผลประโยชน์ตอบแทนเป็นเงินก้อนเดียว
  7. กรณีว่างงาน: ในกรณีที่ถูกเลิกจ้างหรือลาออกจากงาน ผู้ประกันตนมาตรา 33 จะได้รับเงินทดแทนระหว่างการว่างงาน เพื่อช่วยบรรเทาภาระในช่วงที่กำลังหางานใหม่

ตรวจสอบสิทธิและข้อมูลได้ที่ไหน?

ปัจจุบัน สำนักงานประกัน ได้อำนวยความสะดวกให้ผู้ประกันตนสามารถตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ได้ง่ายขึ้นผ่านช่องทางเหล่านี้:

  • เว็บไซต์สำนักงานประกัน  www.sso.go.th
  • แอปพลิเคชัน SSO Connect
  • สายด่วนประกัน  โทร. 1506 (ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง)

สรุป: ทำไมประกัน จึงสำคัญ?

ประกัน ไม่ใช่แค่ “เงินที่ถูกหักไป” จากเงินเดือน แต่คือ “การลงทุน” เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตของเราและครอบครัว เป็นหลักประกันขั้นพื้นฐานที่ช่วยให้เราอุ่นใจได้ว่า เมื่อถึงคราวเจ็บป่วย มีเหตุให้ต้องออกจากงาน หรือยามแก่ชรา เราจะยังมีตาข่ายความปลอดภัยทางการเงินและสวัสดิการคอยรองรับ

ดังนั้น การทำความเข้าใจในสิทธิและหน้าที่ของตนเองในฐานะผู้ประกันตน จึงเป็นสิ่งที่จะช่วยให้เราสามารถใช้ประโยชน์จากระบบประกัน ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและคุ้มค่าที่สุด shoujospain